คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ซัดช่วย เรอัล มาดริด ไล่เจ๊า แอตเลติโก มาดริด

คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ซัดช่วย เรอัล มาดริด ไล่เจ๊า แอตเลติโก มาดริด

 

เรอัล มาดริด (Real Madrid) เปิดบ้านไล่ตีเสมอ แอตเลติโก มาดริด (Real Madrid) 1-1 ในศึก ลาลีกา เมื่อคืนวันเสาร์ โดย คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappe) ยิงประตูช่วงครึ่งหลังช่วยให้ทีมแบ่งแต้มได้ หลังจากที่ ฮูเลียน อัลวาเรซ (Julian Alvarez) ยิงให้ทีมเยือนออกนำไปก่อนในครึ่งแรก

 

ผลเสมอในเกมนี้ทำให้ เรอัล มาดริด ยังคงรั้งจ่าฝูงลาลีกาด้วย 50 คะแนน นำหน้าแอตเลติโก มาดริด ซึ่งรั้งอันดับสองอยู่ 1 แต้ม ขณะที่ บาร์เซโลนา ทีมอันดับสาม (45 คะแนน) จะมีโอกาสลดช่องว่างหากสามารถเอาชนะเซบีย่าในเกมวันอาทิตย์ sbobet

 

เกมที่เบร์นาเบว: สองครึ่งที่แตกต่างกัน

แอตเลติโก มาดริด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในครึ่งแรก โดยมาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 35 จากลูกจุดโทษของ ฮูเลียน อัลวาเรซ หลังจากที่ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ ทำฟาวล์ ซามูเอล ลิโน่ ในเขตโทษ

 

อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ตอบโต้กลับมาอย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลัง และมาได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 50 จากลูกยิงซ้ำของ เอ็มบัปเป้ แต่สุดท้ายพวกเขาไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้ เนื่องจาก แยน โอบลัค โชว์ฟอร์มสุดยอด เซฟลูกยิงสำคัญหลายครั้ง sbobet

 

ทีมของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ฟอร์มกำลังร้อนแรงก่อนเกมนี้ หลังจากชนะ 19 จาก 21 นัดหลังสุด ในทุกรายการ และพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าทำไมถึงมี เกมรับที่ดีที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป โดยเสียเพียง 15 ประตูจาก 23 นัด

 

แม้ว่าเกมนี้ แอตเลติโก จะขาดกองหลังคนสำคัญอย่าง โรบิน เลอ นอร์ม็องด์ ที่ติดโทษแบน แต่พวกเขาก็ยังสามารถรับมือกับแนวรุกของเรอัล มาดริดได้ดี ทำให้ทีมเจ้าบ้าน ไม่มีโอกาสยิงตรงกรอบเลยในครึ่งแรก sbobet

 

จังหวะจุดโทษ และความได้เปรียบของแอตเลติโก

นาทีที่ 25 ผู้เล่นแอตเลติโกพยายามเรียกร้องให้ผู้ตัดสินแจกใบแดงให้ ดานี่ เซบายอส หลังจากที่เขาเข้าเสียบเปิดปุ่มใส่ ปาโบล บาร์ริออส แต่ผู้ตัดสิน เซซาร์ โซโต้ กราโด้ ให้เพียงแค่ใบเหลือง

 

อย่างไรก็ตาม เพียง 5 นาทีต่อมา แอตเลติโกมาได้จุดโทษเมื่อ ชูอาเมนี่ ไปทำฟาวล์ ลิโน่ ในจังหวะสวนกลับ แม้ว่าผู้ตัดสินจะไม่เป่าฟาวล์ในตอนแรก แต่หลังจากเช็ก VAR ก็เปลี่ยนคำตัดสินให้เป็นลูกจุดโทษ

 

อัลวาเรซ สังหารจุดโทษได้อย่างเยือกเย็น ด้วยการชิพบอลเบา ๆ ตรงกลางประตู ขณะที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ พุ่งไปผิดทาง ท่ามกลางเสียงโห่จากแฟนบอลเจ้าถิ่นที่สนาม ซานติอาโก เบร์นาเบว

 

เอ็มบัปเป้ซัดตีเสมอ แต่เจอโอบลัคเซฟช่วยตราหมี

ลิโน่ และ อัลวาเรซ มีโอกาสทองที่จะยิงให้แอตเลติโกนำห่าง แต่พลาดโอกาสไป และสุดท้ายต้องจ่ายราคาเมื่อ เรอัล มาดริด กลับมาได้ในครึ่งหลัง

 

ในนาทีที่ 50 โรดรีโก้ โชว์ทักษะพาบอลหนีแนวรับทางกราบขวา ก่อนเปิดบอลเข้ากลางให้ จู๊ด เบลลิงแฮม ได้ยิงจ่อ ๆ แต่โดน โฆเซ่ ฆิเมเนซ สกัดออกมา บอลกระดอนมาเข้าทาง เอ็มบัปเป้ ที่จัดการซัดเข้าไปไม่พลาด ตีเสมอให้เจ้าบ้านเป็น 1-1

 

จากนั้น เรอัล มาดริด พยายามบุกเพื่อเอาประตูชัย แต่ติดเซฟของ แยน โอบลัค ที่โชว์ฟอร์มสุดยอด โดยป้องกันลูกยิงจ่อ ๆ จาก วินิซิอุส จูเนียร์, โรดรีโก้, เอ็มบัปเป้ และ เบลลิงแฮม ซึ่งรายหลังสุดยังมีลูกยิงชนคานอีกด้วย

 

สุดท้ายเกมจบลงที่ผลเสมอ 1-1 แบ่งแต้มกันไป โดยแอตเลติโกยังคงรักษาสถิติการเล่นเกมรับที่แข็งแกร่งต่อไป

 

ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ประวัติ ฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปยุโรปที่จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ซึ่งมีวิวัฒนาการของรูปแบบการแข่งขันดังนี้

ยุคแรกเริ่ม (4 ทีม)

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1960 ภายใต้ชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยมีรูปแบบการแข่งขันในระยะแรกเป็นแบบเหย้า-เยือน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ ผู้ที่ผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียตในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1

ในปี 1964 ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง กรีซ และ แอลเบเนีย หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีสงครามต่อกัน ส่งผลให้กรีซปฏิเสธที่จะลงแข่งขันกับแอลเบเนีย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้นจัดขึ้นที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และเป็นสเปนในฐานะเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

การแข่งขันฟุตบอลยูโรได้วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การริเริ่มโดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส การเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเมือง ไปจนถึงการสร้างตำนานของหลายชาติในการคว้าแชมป์รายการนี้ในเวลาต่อมา ทำให้ฟุตบอลยูโรกลายเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับทวีปจวบจนปัจจุบัน
– ปี 1960: เริ่มการแข่งขันครั้งแรกในชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยใช้ระบบเหย้า-เยือนในรอบแรกและน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ สหภาพโซเวียตคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวีย 2-1 ในนัดชิงที่ฝรั่งเศส
– ปี 1964: สเปนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และเป็นแชมป์หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิง

ยุคเพิ่มเป็น 8 ทีม

– ปี 1968: เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ” และเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบแบ่งกลุ่ม 8 สาย แชมป์แต่ละกลุ่มเข้ารอบก่อนรองฯ อิตาลีคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวียในนัดรีเพลย์
– ปี 1972: เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 3-0
– ปี 1976: เชโกสโลวะเกียคว้าแชมป์หลังชนะเยอรมัน 5-3 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 2-2
– ปี 1980: เปลี่ยนรูปแบบเป็นแบ่ง 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่มชิงชนะเลิศ เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะเบลเยียม 2-1
– ปี 1984: เปลี่ยนให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีสุดของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองฯ ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในบ้านหลังชนะสเปน 2-0
– ปี 1988: ฮอลแลนด์คว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 2-0 ที่เยอรมนีตะวันตก
– ปี 1992: “ตำนานเทพนิยายเดนส์” เกิดขึ้น หลังเดนมาร์กเข้าแทนยูโกสลาเวียกะทันหัน และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

ยุคเพิ่มเป็น 16 ทีม

– ปี 1996: เพิ่มทีมเป็น 16 ทีม แบ่ง 4 กลุ่ม 2 ทีมแรกเข้ารอบ 8 ทีม และเริ่มใช้กฎโกลเด้นโกล์ เยอรมนีคว้าแชมป์หลังชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-1 จากโกลเด้นโกล์ของเบียร์ฮอฟ
– ปี 2000: เบลเยียมและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมครั้งแรก ฝรั่งเศสคว้าแชมป์จากโกลเด้นโกล์ของเทรเซเกต์ ชนะอิตาลี 2-1

ยุคเพิ่มเป็น 24 ทีม

– ปี 2016: ขยายเป็น 24 ทีม แบ่ง 6 กลุ่ม โดย 2 ทีมแรกของแต่ละกลุ่มและ 4 ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเข้ารอบ 16 ทีม แล้วเล่นแบบน็อกเอาต์ต่อไปจนถึงนัดชิง

จะเห็นว่าฟุตบอลยูโรมีการปรับรูปแบบการแข่งขันตามยุคสมัย จนปัจจุบันกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพใกล้เคียงฟุตบอลโลกเลยทีเดียว