วิลเลี่ยม กัลลาส (William Gallas) อดีตยอดกองหลังชาวฝรั่งเศส
ได้ออกมาให้ความเห็นที่สร้างความสนใจอย่างมากเกี่ยวกับผลงานของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo) ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 (Euro 2024) โดยเฉพาะในแง่ของการเป็นตัวจริงในทีมชาติโปรตุเกส กัลลาสแสดงความเห็นด้วยความเคารพว่า โรนัลโด้ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล อาจไม่ได้ส่งผลดีตามคาดหวังให้กับทีมชาติในทัวร์นาเมนต์นี้
ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2024 (Euro 2024) มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับสมรรถภาพของโรนัลโด้ที่เวลาก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ เมื่อพิจารณาอายุที่เพิ่มขึ้นของเขาและผลงานก่อนหน้านี้ หลายคนกังวลว่าเขาจะสามารถเป็นกำลังหลักให้กับทีมได้หรือไม่ ผลงานของเขาในยูโรครั้งนี้ยืนยันว่าเขาไม่สามารถทำประตูได้เลย และการเล่นของเขายังดูเหมือนว่าต้องแบกรับความกดดันมากเกินไป
วิลเลี่ยม กัลลาสกล่าวว่า “ผมคงงานเข้าแน่ๆ ที่ต้องออกมาพูดแบบนี้ แต่ก่อนอื่นขอชี้แจงว่า ผมเคารพเขาอย่างมาก สำหรับการที่นี่เป็น ยูโร ครั้งสุดท้ายของเขา ผมอยากเห็นโรนัลโด้ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เขาสมควรได้รับมันหลังจากที่เขาทำหลายสิ่งหลายอย่างให้กับวงการฟุตบอล และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักเตะรุ่นหลัง”
กัลลาสยังกล่าวเสริมว่า “น่าเศร้าที่ครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับเขา ฟังนะ ในฐานะนักเตะอาชีพแล้วนั้นผมชอบเขามากๆ ผมชอบทัศนคติและความมุ่งมั่นของเขา ผมประทับใจกับสิ่งที่เขาทำได้ในอาชีพการค้าแข้งของเขา ดังนั้นสำหรับผมแล้ว การจะบอกว่าเขาคือนักเตะที่ล้มเหลวที่สุดในศึก ยูโร 2024 นั้นเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากมาก”
กัลลาสยังชี้แจงว่า ความคาดหวังที่มีต่อโรนัลโด้นั้นไม่ใช่แค่เพียงแฟนบอลแต่รวมถึงวงการ ราคาต่อรองบอล ที่หลายคนคิดว่าโรนัลโด้จะแสดงผลงานที่ยอดเยี่ยมในยูโรครั้งนี้ เพื่อเป็นการฉลองให้กับการเล่นฟุตบอลระดับนานาชาติครั้งสุดท้ายของเขา
“เราอยากเห็นเขาทำบางสิ่งที่พิเศษในการแข่งขันครั้งนี้ ถ้าเขาทำได้ มันจะเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมและเป็นการฉลองที่ดีให้กับเส้นทางการค้าแข้งระดับตำนานของเขา” กัลลาสกล่าว “แต่น่าเศร้าที่เขาทำประตูไม่ได้เลย และมันดูเหมือนว่าเขากำลังแบกความกดดันอย่างมากในสนาม ท้ายที่สุดแล้ว นี่กลายเป็นงานที่หนักสำหรับเขาจริงๆ”
นอกจากความเห็นเกี่ยวกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กัลลาสยังได้ให้ความคิดเห็นว่า นักเตะชื่อดังอื่นๆ เช่น คีลิยัน เอ็มบัปเป้ (Kylian Mbappe) และ แฮร์รี่ เคน (Harry Kane) ก็มีผลงานที่ไม่ดีในทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้ “คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก็ฟอร์มไม่ดีเช่นกัน และแฮร์รี่ เคน ก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้เลยในศึกนี้”
การวิพากษ์วิจารณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังที่สูงส่งที่แฟนบอลทั่วโลกและเดิมพันกีฬามีต่อนักเตะระดับโลกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เว็บไซต์ต่างๆ ที่เสนอ ราคาต่อรองบอล (betting odds) ได้คาดการณ์ว่าฟอร์มของโรนัลโด้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อทีมและการแข่งขัน และเมื่อผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ราคาต่อรองบอล ก็อาจปรับลดลงตามสมรรถภาพที่ฟอร์มไม่เข้าเป้าของเขา
การมองว่านักเตะจะทำผลงานได้ดีหรือไม่ในทัวร์นาเมนต์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยหลายประการที่ส่งผลต่อการเล่นของทีมโดยรวม รวมถึงการตัดสินใจจากโค้ช และสภาพแวดล้อมในทีม สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการทำผลงานให้ยอดเยี่ยมในสนาม
ประวัติ ฟุตบอลยูโร
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับทวีปยุโรปที่จัดขึ้นทุก 4 ปี โดยสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ซึ่งมีวิวัฒนาการของรูปแบบการแข่งขันดังนี้
ยุคแรกเริ่ม (4 ทีม)
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ ยูโร ได้เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี 1960 ภายใต้ชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยมีรูปแบบการแข่งขันในระยะแรกเป็นแบบเหย้า-เยือน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ ผู้ที่ผลักดันให้เกิดการแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส ส่งผลให้ฝรั่งเศสได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต และ ยูโกสลาเวีย ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสหภาพโซเวียตในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1
ในปี 1964 ได้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง กรีซ และ แอลเบเนีย หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีสงครามต่อกัน ส่งผลให้กรีซปฏิเสธที่จะลงแข่งขันกับแอลเบเนีย การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศครั้งนั้นจัดขึ้นที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และเป็นสเปนในฐานะเจ้าภาพที่คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ
การแข่งขันฟุตบอลยูโรได้วางรากฐานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่การริเริ่มโดยสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส การเผชิญหน้ากับปัญหาทางการเมือง ไปจนถึงการสร้างตำนานของหลายชาติในการคว้าแชมป์รายการนี้ในเวลาต่อมา ทำให้ฟุตบอลยูโรกลายเป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระดับทวีปจวบจนปัจจุบัน
– ปี 1960: เริ่มการแข่งขันครั้งแรกในชื่อ “ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ” โดยใช้ระบบเหย้า-เยือนในรอบแรกและน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ สหภาพโซเวียตคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวีย 2-1 ในนัดชิงที่ฝรั่งเศส
– ปี 1964: สเปนเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และเป็นแชมป์หลังเอาชนะสหภาพโซเวียต 2-1 ในนัดชิง
ยุคเพิ่มเป็น 8 ทีม
– ปี 1968: เปลี่ยนชื่อเป็น “ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ” และเปลี่ยนรูปแบบเป็นแบบแบ่งกลุ่ม 8 สาย แชมป์แต่ละกลุ่มเข้ารอบก่อนรองฯ อิตาลีคว้าแชมป์หลังชนะยูโกสลาเวียในนัดรีเพลย์
– ปี 1972: เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 3-0
– ปี 1976: เชโกสโลวะเกียคว้าแชมป์หลังชนะเยอรมัน 5-3 ในการดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 2-2
– ปี 1980: เปลี่ยนรูปแบบเป็นแบ่ง 2 กลุ่ม แชมป์กลุ่มชิงชนะเลิศ เยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์หลังชนะเบลเยียม 2-1
– ปี 1984: เปลี่ยนให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีสุดของแต่ละกลุ่มเข้ารอบรองฯ ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในบ้านหลังชนะสเปน 2-0
– ปี 1988: ฮอลแลนด์คว้าแชมป์หลังชนะสหภาพโซเวียต 2-0 ที่เยอรมนีตะวันตก
– ปี 1992: “ตำนานเทพนิยายเดนส์” เกิดขึ้น หลังเดนมาร์กเข้าแทนยูโกสลาเวียกะทันหัน และคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ยุคเพิ่มเป็น 16 ทีม
– ปี 1996: เพิ่มทีมเป็น 16 ทีม แบ่ง 4 กลุ่ม 2 ทีมแรกเข้ารอบ 8 ทีม และเริ่มใช้กฎโกลเด้นโกล์ เยอรมนีคว้าแชมป์หลังชนะสาธารณรัฐเช็ก 2-1 จากโกลเด้นโกล์ของเบียร์ฮอฟ
– ปี 2000: เบลเยียมและฮอลแลนด์เป็นเจ้าภาพร่วมครั้งแรก ฝรั่งเศสคว้าแชมป์จากโกลเด้นโกล์ของเทรเซเกต์ ชนะอิตาลี 2-1
ยุคเพิ่มเป็น 24 ทีม
– ปี 2016: ขยายเป็น 24 ทีม แบ่ง 6 กลุ่ม โดย 2 ทีมแรกของแต่ละกลุ่มและ 4 ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดเข้ารอบ 16 ทีม แล้วเล่นแบบน็อกเอาต์ต่อไปจนถึงนัดชิง
จะเห็นว่าฟุตบอลยูโรมีการปรับรูปแบบการแข่งขันตามยุคสมัย จนปัจจุบันกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพใกล้เคียงฟุตบอลโลกเลยทีเดียว